Page 137 - b29256_Fulltext
P. 137

บทที่ 5


                                                        บทสรุป



            5.1 สรุปประเด็นสำคัญของข้อเสนองานวิจัย


                      การศึกษาประวัติศาสตร์การแพทย์และการสาธารณสุขในสมัยรัชกาลที่ 7 ซึ่งครองราชย์ระหว่างปี 2468-

            2477 นั้น พบว่าเป็นความต่อเนื่องของการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยที่ไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงชัดเจน ไม่มีโครงการ
            นโยบายหรือการเกิดขึ้นของหน่วยงานด้านนี้อย่างมีนัยสำคัญจากสองรัชกาลก่อนหน้านัก แต่จากผลการศึกษาพบว่า

            สมัยนี้กลับเป็นการสร้างความริเริ่มที่จะสรุปผลการปฏิรูปให้การแพทย์และการสาธารณสุขมีรูปแบบการบริการจัดการที่
            รวมศูนย์ที่กรมสาธารณสุขในทางปฏิบัติและเริ่มทำให้การปกครองส่งท้องถิ่นคือเทศบาลเกิดผลนำไปใช้ในการปกครอง

            ได้จริง โดยเฉพาะนโยบายการสร้างโรงพยาบาลของเทศบาลและการจัดการสุขภาพของท้องถิ่น

                      จากการวิจัยพบว่าสมัยรัชกาลที่ 7 การแพทย์และการสาธารณสุขได้เกิดจุดเปลี่ยนผันสำคัญ (turning
            point)  3 ประการหลักด้วยกัน ได้แก่

                      ประการที่ 1 นโยบายการแพทย์และการสาธารณสุขไทยผลจาก “ตัวตนสยามใหม่” ในความสัมพันธ์กับ

            นานาชาติ และองค์กรระหว่างประเทศช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1-2
                      ประการที่ 2 สถานะทางเศรษฐกิจกับการลงทุนสร้างสาธารณูปโภคด้านการแพทย์และการสาธารณสุข เกิด

            การขยายตัวจากส่วนกลางสู่ภูมิภาคผ่านการจัดเทศบาล และโครงการเฉพาะด้านอย่างมากโดยเฉพาะหลังปฏิวัติ 2475

                      ประการที่ 3 การเปลี่ยนผ่านนโยบายจากการแพทย์เชิงรักษาเป็นการแพทย์เชิงป้องกัน (from curative to
            preventive) ซึ่งบางนโยบายจุดเปลี่ยนสำคัญจะเกิดขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475

                   ประเด็นสำคัญในบริบทแห่งรัชสมัย พ.ศ. 2468-2477 (ค.ศ. 1925-1934) นั้นจะต้องให้ความสำคัญใน

            การศึกษาเกี่ยวกับนโยบายสาธารณสุขที่เป็นผลมาจากองค์การระหว่างเทศจัดตั้งสันนิบาตชาติ (League of Nation,
            1920-1939) หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2463 (1920) สยามเป็นรัฐสมาชิกแรกเริ่มในจำนวน 50

            รัฐ มีสถานะเท่าเทียมกันและยอมรับในเอกราช ต่อมามีองค์กร Health Organization สร้างความร่วมมือนานาชาติ

            ด้านสาธารณสุขและการแพทย์ มีความตกลงที่รัฐสยามต้องลงสัตยาบันแล้วมาอนุวรรตให้กฎหมายในประเทศเป็นไป

            ตามข้อตกลง มีความช่วยเหลือและร่วมมือรวมทั้งองค์ความรู้จากนานาชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการ

            สาธารณสุขที่สำคัญ โรคเรื้อน มาลาเรีย อหิวาตกโรค และยาเสพติด เช่นการสำรวจยุงในปี 2473 โดยนายแพทย์อานิกส
            ไตน์สมาชิกคณะกรรมาธิการไข้จับสั่นของสันนิบาตชาติ กล่าวได้ว่าในกระบวนการจัดระเบียบโลกใหม่ ขบวนการ

            ชาตินิยมและการตั้งองค์กรระหว่างประเทศ สันนิบาตชาติทำให้สยามรัฐเล็กมีตัวตนขึ้นมาเท่าเทียมและยอมรับจากชาติ

            มหาอำนาจเจ้าอาณานิคม การแพทย์และการสาธารณสุขร่วมมือกันเพื่อควบคุมจัดการโรคระบาดของโลก


                   นอกจากนี้ยังขยายไปยังนโยบายการสาธารณสุขด้านสังคมมากขึ้นด้วยความตกลงเรื่องฝิ่น กัญชา และสารเสพ

            ติด จากความตกลงนานาชาติและองค์การระหว่างประเทศ การให้สัตยาบันในที่ประชุมสันนิบาตชาติเรื่องควบคุมกำจัด



                                                           136
   132   133   134   135   136   137   138   139   140   141   142