Page 8 - 22385_Fulltext
P. 8

การศึกษาการบังคับใช้
 พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย



 เพียงใด และในที่สุดแล้วด้วยบริบทของสังคม ทัศนคติ ความรับรู้ของผู้คน
 ในประเด็นเหล่านี้ที่เปลี่ยนแปลงไปจากปี พ.ศ. 2558 กฎหมายฉบับนี้ยังคงมี
 ความจำเป็นหรือเพียงพอหรือไม่ที่จะทำให้คุณค่าของความเท่าเทียมกันระหว่าง  บทคัดย่อ
 เพศได้รับความเคารพในประเทศไทยอย่างแท้จริง

 ด้วยเหตุที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 77
 บัญญัติให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายมีหน้าที่ต้องตรวจสอบความจำเป็นและ
 ประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย ประกอบกับสถาบันพระปกเกล้าได้เล็งเห็น   พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558

 และให้ความสำคัญกับการศึกษาประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้   มีเป้าหมายในการให้ความคุ้มครองแก่เพศหญิง เพศชาย
 ทำให้ผู้วิจัยได้รับโอกาสในการทำงานศึกษาดังกล่าวภายใต้ “โครงการศึกษา
 การบังคับใช้พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558     รวมทั้งบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศให้สามารถดำรง
 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย” หัวใจของรายงานฉบับนี้คือ    สถานะของตนอยู่ในสังคมไทยได้อย่างเท่าเทียม เสมอหน้ากัน
 ส่วนที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาทั้งในแง่ของตัวบทบัญญัติเอง และในแง่ของ    อีกทั้งยังต้องการเปิดช่องทางที่สะดวกและรวดเร็วเพื่อร้องขอ
 การบังคับใช้ซึ่งนอกจากจะอาศัยการวิเคราะห์ตามทฤษฎีและหลักการ    ความเป็นธรรมให้กับผู้ตกเป็นเหยื่อของการเลือกปฏิบัติ
 ทางกฎหมายแล้ว ผู้วิจัยยังได้นำความคิดเห็นที่ได้จากการสัมภาษณ์บุคคล    ด้วยเหตุแห่งเพศ กฎหมายสร้างกลไกไว้สามส่วน คือ
 ที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาประกอบด้วยไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้บังคับใช้กฎหมาย    คณะกรรมการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ (สทพ.)
 ภาคประชาสังคมผู้ขับเคลื่อนประเด็นความเท่าเทียมระหว่างเพศ นักวิชาการ  ซึ่งเป็นคณะกรรมการระดับชาติมีอำนาจวางนโยบาย และแก้ไข

 ด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน ไปจนถึงประชาชนผู้เคยถูกเลือกปฏิบัติและ    ปัญหาต่าง ๆ ในระดับโครงสร้าง คณะกรรมการวินิจฉัย
 ใช้กลไกตามกฎหมายนี้ร้องเข้ามาเพื่อขอรับความเป็นธรรม ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้มาซึ่ง  การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (วลพ.) มีอำนาจ
 บทสรุปและข้อเสนอแนะต่อการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย และประสิทธิภาพ    ในการพิจารณาชี้ขาดคำร้องว่ามีการเลือกปฏิบัติเกิดขึ้นหรือไม่
 การบังคับใช้ในส่วนท้ายสุดของงานวิจัย
                               และกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ที่นอกจากมี
 ผู้วิจัยขอขอบคุณสถาบันพระปกเกล้าที่ริเริ่มและให้ทุนวิจัยแก่โครงการ  ไว้เพื่อจ่ายค่าชดเชยความเสียหายให้กับผู้ถูกเลือกปฏิบัติแล้ว
 ศึกษากฎหมายหลาย ๆ ฉบับเพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ    ยังใช้สนับสนุนกิจกรรมเพื่อการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่าง
 พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศฉบับนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า    เพศด้วย โดยมีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวง
 งานศึกษาวิจัยชิ้นนี้จะเป็นประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อยต่อการพัฒนากฎหมาย     พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานผู้บังคับ

 และมาตรการต่าง ๆ ในประเด็นความเท่าเทียมระหว่างเพศต่อไปในอนาคต
                               ใช้และประสานงานระหว่างสามกลไก หากนับจากวันที่
 สาวตรี สุขศรี                 9 กันยายน 2558 ซึ่งเป็นวันที่มีผลใช้บังคับกฎหมายฉบับนี้
 29 พฤศจิกายน 2564

 VI  สถาบันพระปกเกล้า                                             สถาบันพระปกเกล้า   VII
   3   4   5   6   7   8   9   10   11   12   13