Page 7 - 22385_Fulltext
P. 7
การศึกษาการบังคับใช้
พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
เพียงใด และในที่สุดแล้วด้วยบริบทของสังคม ทัศนคติ ความรับรู้ของผู้คน
ในประเด็นเหล่านี้ที่เปลี่ยนแปลงไปจากปี พ.ศ. 2558 กฎหมายฉบับนี้ยังคงมี
ความจำเป็นหรือเพียงพอหรือไม่ที่จะทำให้คุณค่าของความเท่าเทียมกันระหว่าง บทคัดย่อ
เพศได้รับความเคารพในประเทศไทยอย่างแท้จริง
ด้วยเหตุที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 77
บัญญัติให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายมีหน้าที่ต้องตรวจสอบความจำเป็นและ
ประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย ประกอบกับสถาบันพระปกเกล้าได้เล็งเห็น พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558
และให้ความสำคัญกับการศึกษาประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ มีเป้าหมายในการให้ความคุ้มครองแก่เพศหญิง เพศชาย
ทำให้ผู้วิจัยได้รับโอกาสในการทำงานศึกษาดังกล่าวภายใต้ “โครงการศึกษา
การบังคับใช้พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 รวมทั้งบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศให้สามารถดำรง
เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย” หัวใจของรายงานฉบับนี้คือ สถานะของตนอยู่ในสังคมไทยได้อย่างเท่าเทียม เสมอหน้ากัน
ส่วนที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาทั้งในแง่ของตัวบทบัญญัติเอง และในแง่ของ อีกทั้งยังต้องการเปิดช่องทางที่สะดวกและรวดเร็วเพื่อร้องขอ
การบังคับใช้ซึ่งนอกจากจะอาศัยการวิเคราะห์ตามทฤษฎีและหลักการ ความเป็นธรรมให้กับผู้ตกเป็นเหยื่อของการเลือกปฏิบัติ
ทางกฎหมายแล้ว ผู้วิจัยยังได้นำความคิดเห็นที่ได้จากการสัมภาษณ์บุคคล ด้วยเหตุแห่งเพศ กฎหมายสร้างกลไกไว้สามส่วน คือ
ที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาประกอบด้วยไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้บังคับใช้กฎหมาย คณะกรรมการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ (สทพ.)
ภาคประชาสังคมผู้ขับเคลื่อนประเด็นความเท่าเทียมระหว่างเพศ นักวิชาการ ซึ่งเป็นคณะกรรมการระดับชาติมีอำนาจวางนโยบาย และแก้ไข
ด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน ไปจนถึงประชาชนผู้เคยถูกเลือกปฏิบัติและ ปัญหาต่าง ๆ ในระดับโครงสร้าง คณะกรรมการวินิจฉัย
ใช้กลไกตามกฎหมายนี้ร้องเข้ามาเพื่อขอรับความเป็นธรรม ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้มาซึ่ง การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (วลพ.) มีอำนาจ
บทสรุปและข้อเสนอแนะต่อการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย และประสิทธิภาพ ในการพิจารณาชี้ขาดคำร้องว่ามีการเลือกปฏิบัติเกิดขึ้นหรือไม่
การบังคับใช้ในส่วนท้ายสุดของงานวิจัย
และกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ที่นอกจากมี
ผู้วิจัยขอขอบคุณสถาบันพระปกเกล้าที่ริเริ่มและให้ทุนวิจัยแก่โครงการ ไว้เพื่อจ่ายค่าชดเชยความเสียหายให้กับผู้ถูกเลือกปฏิบัติแล้ว
ศึกษากฎหมายหลาย ๆ ฉบับเพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ยังใช้สนับสนุนกิจกรรมเพื่อการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่าง
พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศฉบับนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เพศด้วย โดยมีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวง
งานศึกษาวิจัยชิ้นนี้จะเป็นประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อยต่อการพัฒนากฎหมาย พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานผู้บังคับ
และมาตรการต่าง ๆ ในประเด็นความเท่าเทียมระหว่างเพศต่อไปในอนาคต
ใช้และประสานงานระหว่างสามกลไก หากนับจากวันที่
สาวตรี สุขศรี 9 กันยายน 2558 ซึ่งเป็นวันที่มีผลใช้บังคับกฎหมายฉบับนี้
29 พฤศจิกายน 2564
VI สถาบันพระปกเกล้า สถาบันพระปกเกล้า VII