Page 113 - 22385_Fulltext
P. 113
การศึกษาการบังคับใช้ การศึกษาการบังคับใช้
พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
ทางอาญาไว้เฉพาะสำหรับการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการ วลพ. หรือทำให้กระบวนพิจารณาคำร้องดังกล่าวล่าช้าหรือมีปัญหาไปบ้าง แต่ก็มิได้มี
ตามมาตรา 20 (2) ประกอบมาตรา 34 แม้จะกำหนดอัตราโทษไว้เท่ากันกับ ลักษณะกระทบสิทธิเสรีภาพของบุคคลใดบุคคลหนึ่งอย่างร้ายแรงจนถึงขั้นที่
มาตรา 196 ประมวลกฎหมายกฎหมาย ก็ไม่ถือว่าขัดกับข้อ 3 ของคำแนะนำ ผู้กระทำการควรมีโทษทางอาญาให้จำคุกได้ถึงสามเดือน แม้อัตราโทษนี้
การกำหนดโทษอาญาฯ แต่อย่างใด จะเป็นเพียงอัตราโทษขั้นสูง ไม่ได้บังคับให้ศาลต้องลงโทษถึงขนาดนี้ อีกทั้ง
ตามมาตรา 36 พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ ให้ดุลพินิจแก่เจ้าพนักงานสามารถใช้
สำหรับการกำหนดโทษอาญาตามมาตรา 22 วรรคสอง ประกอบ
มาตรา 35 พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ นั้น แม้จะสามารถนำ มาตรา 368 วิธีการ “เปรียบเทียบปรับ” โดยไม่ต้องฟ้องร้องดำเนินคดีได้ แต่หากพิจารณา
ประมวลกฎหมายอาญา มาปรับใช้ได้เลย เนื่องจาก พ.ร.บ. ความเท่าเทียมฯ ตาม “หลักความได้สัดส่วน” ของการกำหนดโทษอาญาแล้ว ผู้ศึกษา
มาตรา 23 กำหนดไว้ในวรรคแรกว่า “ให้กรรมการ วลพ. อนุกรรมการ และ ก็ยังเห็นว่าอัตราโทษที่กำหนดไว้ตามมาตรา 22 วรรคสองประกอบมาตรา 35
พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้เป็นเจ้าพนักงาน พ.ร.บ. ความเท่าเทียมฯ สูงเกินไปและไม่ได้สัดส่วนกับความเสียหายที่เกิดขึ้น
ตามประมวลกฎหมายอาญา...” แต่หากพิจารณาประกอบกับ “อัตราโทษ” จึงสมควรมีการพิจารณาเพื่อทบทวนในประเด็นนี้และแก้ไขปรับปรุง ซึ่งอาจ
แล้วจะเห็นได้ว่า พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ กำหนดโทษสำหรับกรณีนี้ไว้สูงกว่า เป็นไปในแง่ของการกำหนดอัตราโทษให้ได้สัดส่วนมากขึ้นโดยดูจาก
มาตรา 368 ประมวลกฎหมายอาญาซึ่งอยู่ในหมวด “ความผิดลหุโทษ” มาตรา 368 ประมวลกฎหมายอาญาเป็นฐาน หรือไม่จำเป็นต้องบัญญัติ
อีกทั้งตามมาตรา 22 วรรคสอง ยังมีองค์ประกอบความผิดในเรื่องของ ความผิดในส่วนนี้ไว้โดยเฉพาะในพ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ อีกก็ได้
“การไม่อำนวยความสะดวก” ซึ่งไม่ปรากฏองค์ประกอบนี้ในมาตรา 368 ทั้งนี้ มาตรา 26 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
แต่อย่างใด เมื่อ พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ เป็นกฎหมายเฉพาะ ดังนี้ หากมี ปี พ.ศ. 2560 กำหนดว่า “การตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจํากัดสิทธิหรือ
เหตุผลความจำเป็นพิเศษที่ต้องกำหนดให้มีอัตราโทษสูงกว่าก็สามารถกำหนด เสรีภาพของบุคคลต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่
โทษทางอาญาได้ตามข้อยกเว้นที่ระบุไว้ในข้อ 3 วรรคแรกของคำแนะนำ รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติเงื่อนไขไว้ กฎหมายดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม
การกำหนดโทษอาญาฯ นั่นเอง ไม่เพิ่มภาระหรือจํากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และ
จะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้ รวมทั้งต้องระบุเหตุผล
อย่างไรก็ตาม ในประเด็นนี้ ผู้ศึกษาขอตั้งเป็นข้อสังเกตและ
แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า โดยเจตนารมณ์ของมาตรา 22 วรรคสอง ความจำเป็นในการจํากัดสิทธิและเสรีภาพไว้ด้วย
ที่เป็นไปเพื่อต้องการให้การดำเนินกระบวนพิจารณาคำร้องที่ยื่นมายัง กฎหมายตามวรรคหนึ่ง ต้องมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป ไม่มุ่งหมาย
คณะกรรมการ วลพ. เป็นไปโดยเรียบร้อย ผู้บังคับใช้กฎหมายสามารถ ให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง”
แสวงหาพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพื่อมาประกอบการวินิจฉัย จากบทบัญญัติมาตรานี้จะเห็นได้ว่า เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของ
คำร้องได้ การไม่อำนวยความสะดวกก็ดี การไม่ชี้แจงข้อเท็จจริง ตอบหนังสือ บุคคล ในขณะเดียวกันก็เพื่อป้องกันการใช้อำนาจเกินขอบเขตโดยองค์กรของรัฐ
สอบถาม หรือส่งสิ่งของหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องก็ดี แม้จะสร้างความยุ่งยาก
98 สถาบันพระปกเกล้า สถาบันพระปกเกล้า