Page 60 - kpi22350
P. 60
= การวางมาตรการความปลอดภัยด้านสาธารณสุขในที่ทำงาน พบว่า องค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นทุกประเภทมีการวางมาตรการดังกล่าวอยู่ในระดับสูงทุกประเภทท้องถิ่น โดยเฉพาะเทศบาล
นครที่กลุ่มตัวอย่างจำนวนมากถึงร้อยละ 100 ระบุว่า ได้ดำเนินการควบคุมด้านสาธารณสุขในที่ทำงานอย่าง
เข้มงวด เพราะมีประชาชนมาติดต่อรับบริการจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องมีการวางมาตรการความปลอดภัย รายงานสถานการณ์
ด้านสาธารณสุขทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและประชาชนที่มาติดต่อรับบริการ ขณะที่เทศบาล
ตำบล องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด และเทศบาลเมือง ก็ได้มีการวางมาตรการ
ความปลอดภัยด้านสาธารณสุขในที่ทำงานอยู่ในระดับสูงเช่นเดียวกัน มีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 98.10,
96.30, 94.90 และ 91.10 ตามลำดับ จะเห็นได้ว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้มีปรับบทบาทการทำงาน
ขององค์กรให้สามารถรับมือกับไวรัส และขณะเดียวกันก็สามารถให้บริการประชาชนได้อย่างปลอดภัย
ด้วยเช่นกัน
= การระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เป็นอีกบทบาทการทำงานขององค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นที่จะต้องคลุกคลีใกล้ชิดกับประชาชนและภาคประชาสังคมหลายภาคส่วน ซึ่งแน่นอนว่า
เมื่อชุมชนท้องถิ่นกำลังเผชิญกับสภาวะวิกฤติ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคส่วนต่างๆ จะต้องมา
ระดมความร่วมมือกันเพื่อหาทางออกในการช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มให้อยู่รอดปลอดภัย โดยผลสำรวจ
ครั้งนี้พบว่า เทศบาลตำบล เทศบาลเมือง องค์การบริหารส่วนตำบล และเทศบาลนคร มีการระดม
ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน นั่นคือ มีค่าคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 58.90, 53.30,
52.00 และ 50.00 ตามลำดับ ขณะที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดนั้นมีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 41.00
ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด นั่นสะท้อนให้เห็นว่า เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด สามารถระดมเครือข่ายความช่วยเหลือในพื้นที่ได้
ค่อนข้างดีกว่าองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่มีบทบาทสนับสนุนการทำงานในภาพรวมของจังหวัด โดยบทบาท
ที่เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลได้สะท้อนให้เห็นผ่านข้อมูลการสำรวจมีหลายประการด้วยกัน เช่น
การจัดตั้งศูนย์บริหารควบคุมโควิดในระดับชุมชน การจัดตั้งคณะกรรมชุมชนขึ้นมาเพื่อควบคุมการระบาด ส่วนที่ 1 บทสำรวจว่าด้วยบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับการจัดการวิกฤติท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19
ของไวรัสในชุมชน รวมถึงการระดมความร่วมมือจากเครือข่ายภาคประชาสังคมในพื้นที่
= การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานและการสื่อสารกับประชาชน พบว่า ในภาพรวม
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นค่อนข้างปรับองค์กรของตัวเองไปสู่องค์กรดิจิทัลมากขึ้น แม้ว่าในภาพรวมนั้น
อาจจะมีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 45.38 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด แต่นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของ
การก้าวไปสู่ท้องถิ่นดิจิทัลที่เข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น ผลการสำรวจพบว่า เทศบาลนครมีความโดดเด่นมาก
ในการปรับการทำงานขององค์กรเข้ากับเทคโนโลยีและการสื่อสารรูปแบบออนไลน์ในช่วงโควิด-19 ซึ่งมี
ค่าคะแนนเฉลี่ยมากถึงร้อยละ 83.30 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด รองลงมาเป็นเทศบาลเมืองและองค์การ
บริหารส่วนจังหวัดที่มีการปรับบทบาทการทำงานโดยนำเทคโนโลยีและการสื่อสารกับประชาชนผ่านรูปแบบ
ออนไลน์ มีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 48.90 และ 41.00 ตามลำดับ ขณะที่เทศบาลตำบลและองค์การ
บริหารส่วนตำบลนั้นยังมีการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในองค์กรไม่มากนัก มีค่าคะแนนเฉลี่ยเพียงร้อยละ
29.20 และ 24.50 ของกลุ่มตัวอย่าง เท่านั้น ข้อสังเกตของผู้เขียนเห็นว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ที่มีขนาดใหญ่ เช่น เทศบาลนคร องค์การบริหารส่วนจังหวัด และเทศบาลเมือง ค่อนข้างมีศักยภาพในการนำ
เทคโนโลยีมาปรับใช้ในองค์กร และมีการใช้สื่อสารในรูปแบบออนไลน์ เช่น Facebook Line หรือ
สถาบันพระปกเกล้า 49