Page 440 - kpi21190
P. 440
440
นอกจากนี้ความเหลื่อมล้ำและความยากจนในเมืองที่มีอยู่เดิมในพื้นที่การพัฒนาเมือง กับบริบทต่างๆ ของเมือง เช่น สิ่งของ ผู้คน ระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม และความสัมพันธ์ระหว่างกัน
อัจฉริยะ นโยบายนี้สร้างการเข้าถึงของคนกลุ่มนี้ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะโครงการนี้เน้นความ การที่ทำให้เมืองอัจฉริยะไปได้ดี การตั้งเป้าหมายคือเริ่มต้นไปมองปัญหาของเมืองและทาง
สะดวกสะบายในการใช้ชีวิตของคน แต่คนกลุ่มนี้ต้องการเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ สุขภาวะและ แก้ปัญหาของเมืองให้ชัดเจน (Hebe Verrest and Karikn Pfeffer, 2019)
ชีวิตพวกเขาให้ดีขึ้น ที่ต้องเริ่มด้วยการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาจากหลายภาคส่วน นโยบายเช่นนี้
จึงไม่ค่อยที่จะตอบโจทย์ความเป็นไปของชีวิตและแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ แต่กลับเป็นการกั้น ข้อสังเกตที่ต่อเนื่องจากที่กล่าวมา กลุ่มคนได้ประโยชน์จากนโยบายเมืองอัจฉริยะอาจจะไป
คนเมืองกลุ่มนี้ให้ออกไปจากพื้นที่มากขึ้นในอนาคต เพราะคนจนเมืองไม่ได้มีพลังที่จะไปต่อรอง กระจุกตัว แค่คนกลุ่มน้อย ผลประโยชน์ไม่ได้ไปถึงกับคนในวงกว้างที่อยู่ในเมือง อาจเป็นแค่กลุ่ม
ในการบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ ในเมืองด้วย สรุปคือกลุ่มคนจนเมืองอาจจะมีความเหลื่อมล้ำ ทุนท้องถิ่น กลุ่มธุรกิจระดับกลางถึงระดับใหญ่ขึ้นไป กลุ่มโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งยัง
ทางโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณะที่เกิดจากนโยบายเมืองอัจฉริยะ และการจัดสรร สะท้อนมาการจัดการทางปกครอง นโยบายเมืองอัจฉริยะในขั้นตอนการพัฒนานโยบาย ดูเหมือนว่า
ทรัพยากรในโครงการอาจจะคิดถึงคนกลุ่มนี้มากยิ่งขึ้น มีการแสวงหาการมีส่วนร่วมจากคนในเมืองและมีความโปร่งใส แต่มีลักษณะการตัดสินใจแบบ
บนลงล่าง (top-down) มีฐานคิดในการหวังเพื่อขยายความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและขยาย
6.3 นโยบายเมืองอัจฉริยะกับความเหลื่อมล้ำด้านอำนาจและการเมืองในการเข้าถึง ผลประโยชน์ในเชิงพื้นที่ ไม่ได้สนใจแรงผลักดันทางการเมืองแรงกดดันของภาคประชาสังคมและ
การบริหารจัดการเมือง ความโปร่งใส่ของกระบวนการ (Tan Yigitcanlar, 2015) และขาดการมีส่วนร่วมและผนึกกำลัง
ประเด็นที่สืบเนื่องมาจากผลประโยชน์อาจเป็นการรวมกลุ่มกันระหว่างกลุ่มนายทุนท้องถิ่น กันเพื่อตัดสินใจเชิงนโยบายไปสู่การปฏิบัติได้ ปัจจัยที่เป็นผลสำเร็จที่ควรตั้งคำถามกับการพัฒนา
และนักการเมืองท้องถิ่น ในการจัดตั้งบริษัทการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ก็อาจเป็นแต่เพียงการแสดง เมืองเช่นนี้ คือความไว้วางใจและสนับสนุนของคนในเมืองซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญมากสำหรับความ
บทบาทที่ต้องการเอื้อประโยชน์ด้านมูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้นของที่ดิน โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สำเร็จของเมืองอัจฉริยะ(Yigiticanda T. and S. Lee, 2014) แล้วจำเป็นต้องอาศัยความมี
ของกลุ่มเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อหวังให้มีการพัฒนาเมืองเพื่อตอบประโยชน์ต่อคนเมืองอย่างแท้จริง เสถียรภาพทางการเมืองจึงทำให้เมืองอัจฉริยะประสบผลสำเร็จ
และเมื่อพิจารณาจังหวัดต่างๆ ที่นำเอาตัวแบบไปเป็นต้นคิดในการนำนโยบายไปปฏิบัติ 6.4 นโยบายเมืองอัจฉริยะกับความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณะและ
มีข้อจำกัดทางงบประมาณที่จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก รัฐบาลจะเป็นผู้สนับสนุนงบ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ประมาณได้มากน้อยเพียงไร หรือไม่อาจสนับสนุนงบประมาณเลย เพราะเป็นการจัดสรร
งบประมาณจำนวนมาก แล้วความเป็นไปได้ของทุนธุรกิจและนักการเมืองท้องถิ่นจะมีศักยภาพ กรณีเมืองอัจฉริยะในประเด็นเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณะและ
ในการระดมทุนจำนวนมหาศาลได้มากน้อยเพียงใด อีกอย่างการชี้นำการเชิญชวนการลงทุนจาก การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เมื่อมีการประกาศว่าจังหวัดใดจะนำโครงการนี้ลงสู่การปฏิบัติ
ประเทศจีน การคิดแบบนี้ดูเหมือนเป็นการขายฝัน แต่การขายฝันเช่นนี้ กลับสร้างมูลค่าของที่ดิน ในพื้นที่จะเห็นได้จากการบรรจุเรื่องนี้ลงในแผนพัฒนาจังหวัดหรือแผนพัฒนาองค์กรปกครอง
หรือโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผู้คนในเมืองก็ย่อมไม่ได้รับประโยชน์อย่างใดจากนโยบาย ส่วนท้องถิ่น เมื่อความต้องการพัฒนาพื้นที่ถูกกำหนดเป็นวาระสำคัญในการขับเคลื่อนเมือง
อาจทำให้การจัดทำบริการสาธารณะแบบเดิมที่รัฐเคยทำแต่ผู้เดียวโดยไม่มีคู่แข่ง อาจจะทำให้
ประการต่อมาคือ แม้นโยบายเมืองอัจฉริยะจะนำไปสู่การปฏิบัติประสบผลสำเร็จ แต่เมือง ภาคเอกชนเสนอตัวเข้ามาจัดทำบริการสาธารณะเฉกเช่นเดียวกับภาครัฐมากขึ้น
มีลักษณะที่หลากหลาย ทั้งที่เป็นที่อยู่อาศัย แหล่งงาน สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่ราชการ
การเป็นย่านการค้าอุตสาหกรรม มีผู้มีส่วนได้เสียในเมืองมีความหลากหลาย โดยเฉพาะคนจน แม้จะทำให้ประชาชนสามารถเลือกใช้บริการที่หลากหลายได้มากขึ้น หากแต่ค่าบริการ
เมืองจะได้รับประโยชน์มากน้อยแค่ไหน โดยข้อเท็จจริงการกำหนดการใช้ประโยชน์จากพื้นที่เมือง ในการเข้าถึงสิ่งเหล่านั้นควรเป็นไปในทิศทางใด เพราะแม้เริ่มต้นของการนำบริการมาสู่คนเมือง
การนำเทคโนโลยีเพื่อพัฒนามาใช้มักนำไปสู่ความขัดแย้งในพื้นที่ระหว่างชุมชนท้องถิ่นและกลุ่มทุน อาจมีราคาที่ไม่สูงมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปหากขาดมาตรฐาน กฎหมาย หรือหน่วยงานที่เข้ามา
ของรัฐในหลายกรณี เช่น การก่อสร้างที่ต้องเวนคืนที่ดิน การสูญเสียพื้นที่ทำมาหากินในเมืองของ กำกับดูแล ก็อาจทำให้ประชาชนไม่มีทุนทรัพย์มากพอที่จะเข้าถึงบริการเหล่านั้นที่อาจปรับตัวสูง
ขึ้น หรืออาจเข้าถึงได้ แต่จะทำให้ประชาชนได้รับบริการอย่างเหมาะสมกับค่าใช้จ่ายหรือไม่ เช่น
บทความที่ผ่านการพิจารณา วางแผนหรือได้รับการเปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วนมากเพียงพอสำหรับการตัดสินใจ ตรงกันข้าม ที่เกิดขึ้นในเมืองอัจฉริยะอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอาจเชื่อมโยงกันจนนำไปสู่การผูกขาดของ
พ่อค้าแม่ค้า เป็นต้น ด้วยเหตุผลการไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในการ
บริการขนส่งทางราง แท็กซี่แบบสมาร์ท เป็นต้น ส่วนข้อกังวลที่จะตามมา คือ บริการสาธารณะ
กับกลุ่มทุนและการเมืองระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติให้ความสำคัญการการจัดการเมืองอัจฉริยะ
กลุ่มทุน และอาจทำให้ประชากรที่มีรายได้น้อยมิอาจพัฒนาบริการเข้าสู้กับทุนขนาดใหญ่ได้
เพื่อส่งเสริมรองรับการลงทุนทางเศรษฐกิจมากกว่าการตระหนักถึงผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและ
จนอาจทำให้สูญเสียรายได้และต้องเลิกล้มการประกอบอาชีพนั้น นอกจากนี้การสมัครใช้บริการ
สิ่งแวดล้อมในเมือง ทั้งนี้นโยบายเมืองอัจฉริยะ ตั้งอยู่บนฐานของการขยายตัวของความเป็นเมือง
ที่เพิ่มขึ้น ในศตวรรษนี้ จำเป็นอย่างมากที่ต้องไปด้วยกันกับชีวิตคนเมือง และไปด้วยกันกับความ
สารสนเทศที่เชื่อมฐานข้อมูลที่ให้บริการเข้าด้วยกันย่อมทำให้อาจเกิดการซื้อขายข้อมูลเหมือนดังที่
เป็นทุนนิยมของเมือง การคิดนโยบายเราไม่ควรละเลยเรื่องนี้ เพราะเมืองอัจฉริยะมีความสัมพันธ์ ของเมืองอาจนำมาสู่การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลได้ เนื่องจากการใช้ระบบเทคโนโลยี