Page 116 - kpi21190
P. 116
116
ความเหลื่อมล้ำเป็นหนึ่งในเสาหลักที่สนับสนุนกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
ความเท่าเทียมกันยังเป็นรากฐานของเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ
(SDGs) ซึ่งอธิบายถึงความหวังแห่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองให้กับผู้คนบนโลกใบนี้
SDGs เป็นแนวทางที่เกิดจากความต้องการของประชาชนเพื่อใช้ในการจัดทำแผนภูมิของ
สหประชาชาติโดยเคารพกฎหมายระหว่างประเทศและมีพื้นฐานแนวทางนี้มาจากสนธิสัญญา
สิทธิมนุษยชนสากลและสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ในปี พ.ศ. 2489 ได้มี
การนำเสนอร่างปฏิญญาสากลว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชน (UDHR) และนำเสนอในการประชุม
สมัชชาสหประชาชาติครั้งแรก โดยผลจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของสงครามโลกครั้งที่สองทำให้
ที่ประชุมสมัชชาได้รับลงมติแผนภูมิ UDHR ในสองปีหรือในปี ค.ศ. 2491 โดยมีกฎเบื้องต้นคือ
“การไม่เคารพต่อสิทธิมนุษยชนมีผลให้เกิดการกระทำอนารยชนซึ่งเป็นเรื่องที่รุนแรงใน
สังคมมนุษยชาติ” แผนภูมิ UDHR กำหนดรากฐานสันติภาพยืนยันการรับรู้เรื่องศักดิ์ศรีโดย
ธรรมชาติและสิทธิที่เท่าเทียมของมนุษย์ กฎเบื้องต้นนี้ทำให้เกิดการรับรู้ถึงสิทธิที่เท่าเทียมกัน
และสิทธิตามธรรมชาติของทุกคนในโลกเพราะเป็นรากฐานของเสรีภาพความยุติธรรมและ
สันติภาพในโลก กระบวนการร่างแผนภูมิ UDHR เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมทางกฎหมาย
ที่แตกต่างกันซึ่งได้มาจากเป็นตัวแทนประเทศต่างๆที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติในขณะนั้น
หน่วยงานสหประชาชาติในเวลานั้นถูกแบ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีอำนาจหรือประเทศตะวัน
ตกที่มีประชาชนมีสิทธิทางการเมืองหลายประการรวมถึงประเทศที่มีฐานะจากการพัฒนา
เศรษฐกิจโดยรวม วิสัยทัศน์เหล่านี้เป็นปัจจัยที่สำคัญในความสำเร็จของการประชุมใหญ่สามัญ
ในสองปีนั้น UDHR ได้เกิดขึ้นและรวมอำนาจไว้ได้ตามคาดใน พ.ศ. 2491 โดยนักวิชาการ
หลายท่านเชื่อว่า UDHR เป็นส่วนหนึ่งของจารีตประเพณีของกฎหมายระหว่างประเทศที่มี
ผลผูกพันกับทุกรัฐไม่ว่าจะมีการตรวจสอบสนธิสัญญาหรือไม่ก็ตาม UDHR ถูกยอมรับ
ในทศวรรษนั้นจากเรื่องการเปิดตัวสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนเพื่อการพัฒนาซึ่งส่วนใหญ่ได้รับ
เอกสารประกอบการอภิปรายร่วมระหว่างผู้แทนจากต่างประเทศ
การยอมรับในทุกประเทศ ในสนธิสัญญาสองฉบับแรก UDHR ประกอบด้วยแนวทางร่วมกัน
อย่างต่อเนื่องของสิทธิโดยใช้เป็นวิสัยทัศน์หรืออุดมการณ์ทั่วโลก ในการดำเนินการตาม
พันธสัญญาทั้งสองของ UDHR นำมาใช้เพื่อเจรจาเกี่ยวกับสิทธิทางเศรษฐกิจ สิทธิทางสังคม
กับวัฒนธรรม (ICESCR) และสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ในปี 2509
เป็นอีกทศวรรษหนึ่งที่สนธิสัญญาได้รับการให้สัตยาบันจำนวน 35 ฉบับเพื่อบังคับใช้ตลอด
40 ปีที่ผ่านมาแต่ละคนมีการให้สัตยาบันมากกว่า 170 ประเทศรวมทั้งประเทศไทยและ
ประเทศในแถบเอเชียด้วย
ตอนนี้มีสนธิสัญญาหลักสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ 9 ฉบับ กฎหมายระหว่าง
ประเทศได้นำสนธิสัญญา 7 ฉบับไปใช้ในการเจรจาการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ
โดยการทำร้ายและการหายตัวของบุคคล และสิทธิด้านอื่น ๆ ได้แก่ ผู้หญิง, เด็ก, คนพิการ,
ผู้อพยพ, การทำงาน, ครอบครัว แม้ว่าการยอมรับสิทธิมนุษยชนว่าเป็นแนวทางปฏิบัติพื้นฐาน
ทางสังคมเพิ่มขึ้นแต่ก็มีการโต้แย้งกันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความสำคัญของสิทธิด้านอื่น ๆ