Page 73 - kpi19903
P. 73

47



                       ค าถามน าการวิจัยที่สี่ คือ คนไทยมีศรัทธาในพรรคการเมืองอย่างไรและเกี่ยวข้องอย่างไรกับตัวเลือก

               ในการเลือกตั้งอย่างไร และค าถามน าการวิจัยที่ห้า คือ คนไทยมีศรัทธาในหัวหน้าพรรคการเมืองอย่างไรและ
               เกี่ยวข้องอย่างไรกับตัวเลือกในการเลือกตั้งอย่างไร

                       ทั้งสองค าถามนี้เป็นการศึกษาเรื่องความศรัทธา (Trust) ของประชาชนที่มีต่อหัวหน้าพรรคการเมือง
               และพรรคการเมืองว่ามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเลือกตั้งหรือไม่อย่างไร

                       ทั้งนี้ความศรัทธาทางการเมือง (Political trust) นั้นมีหลายองค์ประกอบ เช่น ความศรัทธาต่อระบบ
               การเมือง (Political system trust) ความศรัทธาในตัวนักการเมือง (Politician trust) ความศรัทธาในพรรค

               การเมือง (Political party trust) ความศรัทธาในรัฐสภา (Parliament trust) เป็นต้น (Levi & Stoker,
               2000; Schneider, 2017; Turper & Aarts, 2017) แต่ส าหรับการศึกษานี้จะศึกษาเฉพาะ   ความศรัทธาใน

               ตัวนักการเมืองและพรรคการเมืองซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการเลือกตั้งค่อนข้างมาก
                       ความศรัทธาทางการเมืองมีความส าคัญ ท าให้ประชาชนต้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบ

               ต่างๆ โดยเฉพาะความศรัทธาทางการเมืองที่มีต่อคนนอกกลุ่มของตน (Out-group trust) (Crepaz, Jazayeri,
               & Polk, 2016) และสัมพันธ์ทางบวกกับความตั้งใจจะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง (Hooghe & Stiers, 2016; Levi

               & Stoker, 2000) โดยเฉพาะความศรัทธาในตัวนักการเมือง ส่งผลกระทบกับตัวเลือกในการเลือกตั้งว่าจะ
               เลือกตั้งนักการเมืองคนใด (Parker, 1989) แม้จะมีความซับซ้อนมาก ดังจะเห็นได้จากความศรัทธาโดยทั่วไป

               ท าให้อธิบายได้ว่าท าไมนางคลินตันจึงชนะ Popular vote แต่ความศรัทธาด้านความมั่นคงของชาติกับภัยการ
               ก่อการร้ายที่มีต่อโดนัลด์ ทรัมพ์ ท าให้เขาชนะการเลือกตั้ง Electoral vote โดยเฉพาะในรัฐที่ไม่เป็นฐานเสียง

               ของพรรคใดพรรคหนึ่ง (Swing state) (Shockley-Zalabak, Morreale, & Stavrositu, 2017)
                       ในทางกลับกัน ผลการเลือกตั้งก็ส่งผลกระทบกลับมาที่ความศรัทธาทางการเมืองเช่นกัน ความศรัทธา

               ทางการเมืองยังมีส่วนส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความตั้งใจที่จะเสียภาษี เพื่อให้เกิดการปฏิรูปประเทศ
               (Anderson, 2017) นอกจากนี้การเลือกตั้งผลการศึกษาจาก 23 ประเทศยังพบว่า การเข้ามามีส่วนร่วมของ

               ทุกภาคส่วนในการเลือกตั้งและความรู้สึกส านึกรับผิดชอบในการเลือกตั้ง ท าให้เกิดความศรัทธาทางการเมือง
               (Marien, 2011) ผลการศึกษายังพบว่า การเลือกตั้งระบบแบ่งสรรปันส่วนมีส่วนช่วยให้การเกิดความศรัทธา

               ทางการเมืองในกลุ่มคนที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง (Hooghe & Stiers, 2016)
                       พฤติกรรมที่ไม่น่าเคารพของนักการเมืองท าให้เกิดความไม่ศรัทธาทางการเมืองโดยเฉพาะ อย่างยิ่ง

               เมื่อพฤติกรรมทางการเมืองนั้น ๆ เป็นพฤติกรรมที่เป็นต้นแบบเห็นได้ชัดเจน (Molders & Quaquebeke,
               2017) ผลการศึกษาจากประเทศญี่ปุ่นพบว่า ความไม่ศรัทธาทางการเมือง (Political mistrust) ท าให้เกิดการ

               เปลี่ยนขั้วทางการเมืองหันไปสนับสนุนฝ่ายตรงข้าม (Vote switching) และท าให้หันเหไปเป็นผู้ไม่ฝักใฝ่ทาง
               การเมืองฝ่ายใดทั้งสิ้น (Non-partisan) (Krauss, Nemoto, Pekkanen, & Tanaka, 2017) ซึ่งอย่างหลังนี้

               อาจจะช่วยอธิบายเหตุผลของการไม่ประสงค์จะลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในประเทศไทยได้
                       ทั้งนี้เราจะศึกษาและเปรียบเทียบศรัทธาในพรรคการเมืองและหัวหน้าพรรคการเมืองกับพฤติกรรมใน

               การเลือกตั้งของประชาชน โดยพรรคการเมืองที่น ามาวิเคราะห์และพิจารณาจะแบ่งออกเป็น 3 พรรค คือ
               พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นรัฐบาลในขณะนั้น พรรคเพื่อไทย และกลุ่มพรรคการเมืองอื่น ๆ เพื่อให้มีจ านวนเพียง

               พอที่จะเปรียบเทียบกันได้อย่างน่าเชื่อถือเพียงพอ
   68   69   70   71   72   73   74   75   76   77   78