Page 376 - kpi17968
P. 376
365
นอกจากนี้ สังคมจะต้องร่วมมือกันในการ งดเว้นการกระทำใดๆ ที่ทำให้
ผู้คนรู้สึกว่าอยู่ในสังคมที่ไม่เคารพกฎหมายและหลักนิติธรรม อาทิ การใช้มวลชน
ในการเรียกร้องหรือกดดันองค์กรต่างๆ เช่น องค์กรตุลาการ หรือการแก้ไขปัญหา
ต่างๆ ด้วยวิธีการอันผิดกฎหมาย ซึ่งจากการศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาความ
ขัดแย้งและการสร้างความปรองดองของประเทศต่างๆ ในโลกที่เคยผ่าน
ประสบการณ์ดังกล่าวมาแล้วพบว่าสิ่งที่จะต้องเริ่มทำก่อนที่จะดำเนินไปสู่กระบวน
การอื่นๆ คือ หลายประเทศได้เลือกที่จะสร้างบรรยากาศแห่งความปรองดอง โดย
พยายามยกเลิกกฎหมายต่างๆ และการใช้อำนาจของรัฐที่กระทำต่อมวลชนอย่าง
ไม่เป็นธรรม มีการปลดอาวุธอย่างเป็นทางการ เพื่อนำความขัดแย้งเข้าสู่การ
เจรจาหารือ เพื่อหาข้อตกลงร่วมกันในโต๊ะเจรจา ซึ่งในกรณีของประเทศไทยนั้น
ภาคมวลชนและภาครัฐควรร่วมมือกันงดเว้นการกระทำใดๆ ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่า
อยู่ในสังคมที่ไม่เคารพกฎหมายและหลักนิติธรรม ต้องสร้างบรรยากาศแห่งความ
ปรองดองโดยยกเลิกการใช้มวลชนในการเรียกร้องกดดันต่อองค์กรต่างๆ ทั้งต่อ
องค์กรตุลาการ และต่อการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานราชการ
การสร้างความปรองดองต้องนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอันเป็นรากเหง้าของ
ความขัดแย้ง รวมทั้งการสร้างภาวะกลไกที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมที่
แตกต่าง และต้องมีการยอมรับร่วมกันถึงคุณค่าของกันและกันบนพื้นฐานของ
หลักนิติธรรม (สถาบันพระปกเกล้า, 2555: 151-154) สังคมไทยจำเป็นที่จะต้อง
สร้างกระบวนการปรองดองควบคู่ไปกับการยุติเหตุการณ์ขัดแย้งทั้งหลายที่อาจ
เป็นต้นเหตุนำไปสู่การเผชิญหน้าของผู้คนในสังคมและนำไปสู่ความรุนแรงในที่สุด
การยุติความขัดแย้งและการสร้างความปรองดองของคนในชาติจึงถือเป็นปัญหา
ความมั่นคงและเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนเนื่องจากเป็นที่ประจักษ์แล้ว
ว่าการบริหารราชการแผ่นดิน การแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ การรักษาความ
มั่นคงของรัฐและการพัฒนาประเทศไม่อาจดำเนินการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ท่ามกลางความขัดแย้งและความแตกแยกเช่นนี้ การปรองดองไม่ได้เป็นเพียง
หน้าที่ของฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น หากแต่เป็นหน้าที่ของทุกคนและ
ทุกฝ่ายในสังคมที่จะต้องร่วมมือกันนำพาประเทศชาติให้ก้าวข้ามความขัดแย้ง
ครั้งนี้เพื่อนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่ความปรองดองอย่างยั่งยืนตามเจตนารมณ์ของ
การประชุมกลุมยอยที่ 3