Page 61 - kpi12821
P. 61
ณรงค์เดช สรุโฆษิต
4. ความเหมือนและความแตกต่างระหว่าง
การสิ้นสภาพและการยุบพรรคการเมือง
การสิ้นสภาพพรรคการเมืองและการยุบพรรคการเมืองนั้นเหมือนกันตรงที่ต่างก็
เป็นการใช้อำนาจรัฐทำให้ความเป็นนิติบุคคล “พรรคการเมือง” สิ้นสุดลง โดยที่สมาชิก
พรรคการเมืองนั้นมิได้ “สมัครใจ” เหมือนกัน และผลที่ตามมาก็คือ ต้องมีการชำระ
บัญชีพรรคการเมือง โดยในระหว่างเวลาดังกล่าว หัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคยัง
คงต้องปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่อไปจนกว่าจะมีการชำระบัญชีแล้วเสร็จ แต่ไม่อาจดำเนิน
กิจกรรมใด ๆ ทางการเมืองในนามของพรรคการเมืองนั้นได้ จากนั้น หากปรากฏว่า
มีทรัพย์สินเหลืออยู่เท่าใด ให้โอนทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่องค์กรสาธารณกุศลตามที่ระบุ
ไว้ในข้อบังคับพรรคการเมือง ถ้าในข้อบังคับพรรคมิได้ระบุไว้ หรือหากข้อบังคับพรรค
ระบุ “ชื่อ” องค์กรสาธารณกุศลใดไว้ แต่องค์กรนั้นไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว ณ ขณะเวลา
นั้น ก็ให้นำทรัพย์สินที่เหลือนั้นเข้าเป็นของกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง
17
ส่วนความแตกต่างระหว่างการสิ้นสภาพพรรคการเมืองและการยุบพรรค
การเมืองนั้นมีอยู่หลายประการ อันได้แก่
ประการแรก การสิ้นสภาพพรรคการเมืองเป็นกรณีที่พรรคการเมืองไม่สามารถ
ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการดำรงสถานะพรรคการเมืองได้ ซึ่งโดยหลัก มักจะเป็นเรื่องที่
สอดคล้องกับการสิ้นสุดลงตามธรรมชาติของการรวมกลุ่ม เช่น เมื่อไม่มีสมาชิก
พรรคการเมืองคนใดใส่ใจติดตามการดำเนินการของพรรคการเมืองอีกต่อไป ปล่อยให้
หัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคละเลยหน้าที่ไม่เรียกประชุมใหญ่หรือไม่ดำเนิน
กิจกรรมใดๆ ทางการเมืองตลอดระยะเวลา 1 ปีติดต่อกัน หรือพรรคการเมืองไม่ทำ
หน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตยของพรรคการเมืองคือ การเข้าสู่กลไกการใช้อำนาจรัฐ
ผ่านการเลือกตั้งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานจนกระทั่งเห็นได้ชัดว่า ละทิ้งเจตนารมณ์
ดั้งเดิมในการก่อตั้งพรรคการเมืองแล้ว ในขณะที่การยุบพรรคการเมืองนั้นเป็นกรณีที่
พรรคการเมือง หัวหน้าหรือกรรมการบริหาร หรือสมาชิกทั่วไปของพรรคการเมือง
ไม่ดำเนินการตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเฉพาะเจาะจง หรือที่รุนแรงกว่านั้น
คือ ได้กระทำความผิดร้ายแรง จนเป็นเหตุให้รัฐต้องใช้อำนาจยุบพรรคการเมือง
ประการที่สอง ในเรื่องกระบวนการ การสิ้นสภาพพรรคการเมืองเป็นอำนาจของ
นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะประกาศให้
17 โปรดดู พ.ร.ป. พรรคการเมือง 2550, ม. 96; แต่ทั้งนี้เป็นการตีความของผู้วิจัย มิใช่เนื้อความในมาตรา
96 วรรคสาม