Page 7 - kpiebook66024
P. 7
VII
การตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ภายใต้ระบบรัฐสภา
ทำปัญหาเรื่องการเมืองให้กลายเป็นเรื่องกฎหมายและให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งทำให้เกิด
การวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำให้ฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐสภา อ่อนแอลง อีกทั้ง
การแก้ปัญหาโดยทำให้เรื่องการเมืองเป็นเรื่องกฎหมายนั้น จะทำให้เหลือทางออกเพียง
“ใช่” กับ “ไม่ใช่” หรือ “ผิด” กับ “ถูก” ซึ่งขาดการประสานประโยชน์หรือทำให้เกิด
สถานการณ์ที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
ด้วยเหตุนี้ งานวิจัยฉบับนี้จึงมุ่งศึกษาแนวทางในการไขปัญหาเรื่องของบกพร่อง
ของการตรวจสอบถ่วงดุลในระบบรัฐสภาเพื่อนำมาปรับใช้กับกรณีของประเทศไทย
โดยอยู่ภายใต้หลักการที่ว่า ทำอย่างไรให้รัฐสภาสามารถตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหาร
ได้อย่างแท้จริง ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าการตรวจสอบนั้นจะต้องยังคงทำให้การบริหาร
ราชการแผ่นดินสามารถดำเนินต่อไปได้ และนำเสนอข้อเสนอเพื่อเป็นทางออกสำหรับ
การแก้ไขปัญหาเรื่องการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร
ในระบบรัฐสภาในประเทศไทยด้วย เพื่อตอบคำถามว่า จะทำอย่างไรให้เกิด
การตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารได้อย่างแท้จริงในระบบ
รัฐสภาซึ่งกำหนดให้นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นประมุขของฝ่ายบริหารมาจากเสียงข้างมาก
ของสภาผู้แทนราษฎร หรือก็คือ เป็นระบบที่ทำไห้ประมุขของฝ่ายบริหารและ
เสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎรเป็น “พวกเดียวกัน”
ทั้งนี้ จากการศึกษาวิจัยทั้งหมดได้ทำให้เกิดข้อสังเกตที่สำคัญ ดังนี้
1. ในกลุ่มประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา
ไม่มีประเทศใดสร้างกลไกในลักษณะไปถึงที่ทำให้ฝ่ายบริหารต้องถูกตรวจสอบ
จนไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างปกติ และไม่มีประเทศใดที่สร้างกลไก
ให้ตัวของพรรคฝ่ายค้านโดยตัวเองซึ่งเป็นเสียงข้างน้อยในรัฐสภาสามารถล้มนโยบาย
ฝ่ายบริหารหรือทำให้ฝ่ายบริหารออกจากตำแหน่งได้เนื่องจากถือเป็นการผิดธรรมชาติ
ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ต้องเคารพเสียงของประชาชนที่เลือกตั้งมา
2. การตรวจสอบที่เกิดในกรณีพิเศษในต่างประเทศ (เช่น กรณีฝ่ายตุลาการ
มีคำพิพากษาก้าวล่วงไปถึงการกำหนดนโยบายของรัฐบาลซึ่งเป็นเรื่องทางการเมือง)
จะมีลักษณะจำกัดการตรวจสอบอยู่ที่กิจการที่อาจไปล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของ
ประชาชนได้