Page 71 - kpi20896
P. 71
70
มีอิทธิพลอย่างไม่มีนัยส้าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีความสามารถในการพยากรณ์ด้วยแบบจ้าลองที่ 0.156
และค่า Durbin-Watson จะมีค่าที่ 2.195 ซึ่งสะท้อนว่าไม่มีปัญหา autocorrelation ที่อาจส่งผลให้เกิด
ปัญหาความสัมพันธ์ที่ไม่จริง (Spurious Regression) จึงถือเป็นผลการทดสอบที่เชื่อถือได้
เมื่อพิจารณาขนาดอิทธิพลของปัจจัยที่ส่งผลต่อสัมประสิทธิ์ความเหลื่อมล้้าได้ที่ลดลงพบว่า
สัดส่วนการว่างงานจากประชากรวัยแรงงาน (UNEMT) มีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.437 (t = 2.132670, p =
0.03*) กล่าวคือหากมีระดับการว่างงานเพิ่มมากขึ้นร้อยละ 43.7 จะท้าให้เกิดค่าความเหลื่อมล้้าตามการ
ค้านวณสัมประสิทธิ์เพิ่มขึ้น 1 หน่วย ในขณะที่รายได้มวลรวมประชาชาติต่อหัวประชากรตามการค้านวณ
ค่าเงินสากล (GNI_PPINTER) มีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 9.130 (t =2.578953, p = 0.01**) นั่นคือการที่ประเทศ
มีรายได้มวลรวมตามค่าเงินสากลเพิ่มขึ้น 9.130 ล้านดอลล่าร์สหรัฐจะมีความเหลื่อมล้้าเพิ่มมากขึ้น 1 หน่วย
ส้าหรับตัวแปรที่ไม่มีนัยส้าคัญทางสถิติ ได้แก่ สัดส่วนการส่งออกสินค้าและการบริการ
ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Ex_GS) ที่มีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.048681 (t = 1.146535, p = 0.25)
เงินลงทุนสุทธิจากนอกประเทศตามค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา (FOREIGN) ที่มีขนาดอิทธิพลที่เท่ากับ -
2.5200 (t = -0.467476, p = 0.6414) สัดส่วนการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมจากการจ้างงานรวม
(EMP_INDUST) ที่มีขนาดอิทธิพลเท่ากับ -0.192 (t = -1.002401, p = 0.3192) ค่าเงินเฟ้อรายปีต่อเนื่อง
(Inf_Linked) ที่มีขนาดอิทธิพลเท่ากับ -0.027 (t = -1.428288, p = 0.1571) ดัชนีการควบคุมการทุจริต
(COFC) ที่มีขนาดอิทธิพลเท่ากับ 2.634 (t = 1.448673, p = 0.15138) ดัชนีการมีสิทธิ์มีเสียงของประชาชน
และความสามารถตรวจสอบได้ (VOICE) ที่มีขนาดอิทธิพลเท่ากับ -1.603 (t = -0.833944, p =0.4068) และ
สัดส่วนประชากรที่อาศัยในชุมชนเมืองจากจ้านวนประชากร (URBAN_TP) ที่มีขนาดอิทธิพลเท่ากับ -0.567
(t = -1.267248, p = 0.2087) แม้ว่าปัจจัยเหล่านี้จะไม่มีนัยส้าคัญทางสถิติ อย่างไรก็ดี ทิศทางของอิทธิพล
มีความสอดคล้องกับทฤษฎี กล่าวคือปัจจัยเหล่านี้มีผลท้าให้ความเหลื่อมล้้าลดลงหรือมีทิศทางเป็นลบนั่นเอง
4.2 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสัดส่วนการกระจายรายได้ไปสู่กลุ่มผู้มีรายได้ต่้าที่สุดร้อยละ 10
จากการทดสอบแบบจ้าลองในส่วนก่อนหน้า ที่พบผลของปัจจัยที่สามารถน้าไปสู่การลดความ
เหลื่อมล้้าด้านรายได้ผ่านดัชนีสัมประสิทธิ์ความเหลื่อมล้้าของกลุ่มประเทศรายได้ปานกลาง อย่างไรก็ดีตัวแปร
ที่มีอิทธิพลเป็นตัวแปรในเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ท้าให้แนวนโยบายที่ได้จากผลการวิเคราะห์จะเป็น
แนวทางการแก้ปัญหาเชิงมหภาค ในขณะที่ปัญหาส้าคัญอีกประการ คือ ผลกระทบจากความเหลื่อมล้้าที่
เกิดขึ้นกับคนยากจนที่สุด ที่มักได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ที่มีรายได้สูงเสมอ ดังนั้นผู้วิจัยจึงพยายามหาความ
เชื่อมโยงและค้นลงลึกไปในประเด็นความเหลื่อมล้้าว่า จะท้าอย่างไรหรือมีปัจจัยใดที่จะช่วยให้เกิดการเพิ่มขึ้น