Page 62 - kpiebook66001
P. 62

การประชุมวิชาการ
                สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 24
           ความท้าทายของความมั่นคงใหม่กับประชาธิปไตย

               1.   บทบาทของรัฐบาลสหราชอาณาจักรในภูมิภาคยุโรป

                     ผ่านสงครามรัสเซีย-ยูเครน

                     ภาพที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชนทั่วโลกเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เมื่อประธานาธิบดี
               ยูเครน นายโวโลดิมียร์ เซเลนสกี ได้ต้อนรับการมาเยือนอย่างเป็นทางการของนายบอริส

               จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ถือว่าเป็นการเยือนครั้งแรกของผู้นำ
               โลกประชาธิปไตยที่มาจากทวีปยุโรป นักวิชาการหรือสำนักข่าวบางแห่งได้มีการเปรียบเทียบว่า
               รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้เดินทางมาเยือนยูเครนก่อนที่สองประเทศผู้นำของสหภาพยุโรป
               ได้แก่ นายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และนายโอลาฟ ชอลซ์ นายกรัฐมนตรี

               คนใหม่ของเยอรมนี ที่ยังไม่มีสัญญาณใดๆว่าจะมีการเยือนประเทศยูเครน จากเหตุการณ์นี้
               สะท้อนให้เห็นนัยยะทางการแข่งขันภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ของสหราชอาณาจักรที่ได้มีการแข่งขันกับ
               กลุ่มประเทศผู้นำสหภาพยุโรป โดยรัฐบาลอังกฤษได้แสดงตนอย่างชัดเจนในการกลับมา
               มีบทบาททางด้านความมั่นคงการทหารในยุโรปอีกครั้ง ภายหลังที่ได้ถอนตัวออกจากการเป็น

               ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา โดยรัฐบาลของนายบอริส
               ได้ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนว่า สหราชอาณาจักรจะเป็นผู้นำในการเผชิญหน้ากับความก้าวร้าว
               ความรุนแรงในการใช้อำนาจของรัฐบาลรัสเซียต่อสงครามรัสเซีย-ยูเครน และที่สำคัญรัฐบาล
               มีความต้องการที่จะกลับมาสร้างอิทธิพลด้านความมั่นคงและแสนยานุภาพทางการทหาร

               ในภูมิภาคยุโรปอีกครั้งภายใต้แนวคิด ‘Global Britain’ (Tisdall, 2022) สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญ
               ที่กระตุ้นให้สหราชอาณาจักรเข้าไปมีบทบาทในสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งถือว่าเป็นสงคราม
               ครั้งยิ่งใหญ่ในยุโรปหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1945 คือ ปัจจัยแรก ได้แก่
               สหราชอาณาจักรมองว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครนในครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ระหว่าง

               ระบอบประชาธิปไตยและระบอบอำนาจนิยมทั่วโลก ดังนั้นสหราชอาณาจักรจึงเข้าไปมีบทบาท
               ผ่านความสัมพันธ์พิเศษระหว่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา (The US-UK Special
               Relationship) ภูมิหลังและประวัติศาสตร์ของทั้งสองประเทศที่มีความผูกพันกันในด้าน
               ความมั่นคงทางการทหาร ทำให้รัฐบาลสหราชอาณาจักรเป็นหนึ่งในผู้นำองค์การสนธิสัญญา

               แอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organisation: NATO) หรือที่รู้จักกันในนาม
               องค์การนาโต ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งและดำเนินนโยบายความร่วมมือทางการเมืองและ
               การทหารของประเทศค่ายเสรีประชาธิปไตยเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์และอำนาจนิยม (Foerster
               & Raymond, 2017) ปัจจัยที่สอง ได้แก่ นโยบายต่างประเทศของสหราชอาณาจักรหลังจาก

               ออกจากการเป็นประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป รัฐบาลมีความต้องการที่จะขยายอิทธิพลและ
        การประชุมกลุ่มย่อยที่ 2   สหราชอาณาจักรจึงเข้าไปมีบทบาทในสถานการณ์โลกที่สำคัญซึ่งได้แก่สงครามรัสเซีย-ยูเครน
               รักษาบทบาทของประเทศในฐานะ ‘Great Power’ ในบริบทของเวทีโลก (Morris, 2020)

               ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 6 เดือน เพื่อยังคงรักษาความเป็นผู้นำในด้านโลกประชาธิปไตยแม้ว่า

               การเมืองภายในประเทศจะมีปัญหาเรื้อรังนับตั้งแต่ช่วงการทำประชามติในปี พ.ศ. 2559 และ
               ปัจจัยที่สาม คือ สหราชอาณาจักรกำลังแข่งขันเพื่อแย่งชิงความเป็นผู้นำที่มีอำนาจและอิทธิพล
   57   58   59   60   61   62   63   64   65   66   67