Page 838 - kpiebook65012
P. 838
838
(zero-sum) ด้วยเหตุนี้ควำมขัดแย้งระหว่ำงกลุ่มจึงไม่ใช่สภำวะที่หยุดนิ่ง
กำรกระทบกระทั่งกันระหว่ำงกลุ่มต่ำง ๆ จะมีขึ้นลงในฐำนะของ
กำรตอบสนองต่อปัจจัยหลำยประกำรที่ก�ำหนดเงื่อนไขของควำมขัดแย้งนั้น
รวมไปถึงเรื่องของระดับที่ปัจเจกบุคคลจะคำดกำรณ์ต่อควำมขำดแคลน
และขนำดของกลุ่มต่ำง ๆ ที่แข่งขันแย่งชิงกัน หรือควำมเหนียวแน่นใน
แต่ละกลุ่มที่แข่งขันแย่งชิงกัน และ ระดับของผลประโยชน์ที่เข้ำใจร่วมกัน
และเห็นว่ำส�ำคัญในกลุ่มที่มีระดับของกำรแบ่งแยกกัน กล่ำวโดยสรุปแล้ว
แนวคิดเรื่องควำมขัดแย้งระหว่ำงกลุ่มนั้นมีควำมใกล้เคียงกับงำนระดับ
คลำสสิคคือ The American Voter ของ Campbell และคณะ (1960)
ที่พูดถึงตัวแบบของอิทธิพลของกลุ่ม (group influence) โดยงำน
ทั้งสองแบบนี้มีจุดร่วมที่ว่ำ ระดับของควำมแตกต่ำงทำงกำรเมืองที่
โดดเด่นของแต่ละกลุ่ม (political distinctiveness) นั้นขึ้นอยู่กับระดับของ
กำรระบุตัวตนของปัจเจกบุคคลกับกลุ่มและระดับของควำมเหนียวแน่น
ของกลุ่ม
อย่ำงไรก็ตำม ทฤษฎีว่ำด้วยควำมขัดแย้งของกลุ่มนั้นไปไกลกว่ำ
ทฤษฎีอิทธิพลของกลุ่มตรงที่ว่ำปัจจัยเรื่องกำรระบุตัวตนกับกลุ่มและ
ควำมเหนียวแน่นของกลุ่มนั้นมีลักษณะเป็นพลวัตรและขึ้นกับกำรแข่งขัน
ที่ถูกคำดกำรณ์ (percived competition) ระหว่ำงกลุ่มดังนั้นภำยใต้
สถำนกำรณ์ที่กำรคำดกำรณ์/รับรู้ของกำรแข่งขันระหว่ำงกลุ่มต่อทรัพยำกร
ที่ขำดแคลนนั้นมีระดับต�่ำ กลุ่มต่ำง ๆ อำจจะแสดงออกซึ่งระดับของส�ำนึก
ของกลุ่มในระดับต�่ำ (group consciouseness) ดังนั้นควำมเป็นไปได้
ส�ำหรับกำรลงคะแนนเสียงที่สะท้อนควำมโดดเด่นของกำรลงคะแนนที่
ออกมำเป็นแบบกลุ่มก็จะมีในระดับต�่ำ และภำยใต้สถำนกำรณ์ที่ผู้สมัคร