Page 4 - 22825_Fulltext
P. 4
ข
บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
รายงานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์การวิจัยคือ 1. พัฒนาดัชนีและตัวชี้วัด ด้านสันติภาพที่เหมาะสม
กับบริบทของสังคมไทย 2. วัดระดับสันติภาพในสังคมไทยเพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะในการสร้าง
สันติภาพให้เกิดขึ้น 3.นำผลของงานวิจัยมาแลกเปลี่ยนกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อทำให้เกิดการ
ขับเคลื่อนงานด้านสันติภาพ จากการสำรวจองค์ความรู้เกี่ยวกับดัชนีและตัวชี้วัดด้านสันติภาพทั้งใน
ประเทศและต่างประเทศทำให้ทราบว่า นิยามสันติภาพซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากลตั้งอยู่บน
หลักการของการไม่มีสันติภาพเชิงลบและมีสันติภาพเชิงบวก กล่าวคือไม่มีความรุนแรงทางกายภาพ
ที่ปรากฏอย่างชัดเจน มีระบบ กลไกที่ทำให้สังคมมีความสงบสุข และมีสันติภาพอย่างยั่งยืน นอกจาก
ความหมายสันติภาพดังกล่าวแล้ว การศึกษาสันติภาพในมิติภายใน คือ การเข้าใจตนเองมีความสำคัญ
และการทำให้จิตใจของตนเองมีเมตตา กรุณา การเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ จากนิยามสันติภาพ
ของสากลดังกล่าวนำมาสู่การประยุกต์แนวคิดให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย และพัฒนาเกณฑ์
ของตัวชี้วัดด้านสันติภาพให้เหมาะสม เพื่อวัดระดับสันติภาพในสังคมไทย
การศึกษาครั้งนี้ เป็นการจัดทำตัวชี้วัดด้านสันติภาพที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย ด้วย
การกำหนดตัวชี้วัดและเกณฑ์การให้คะแนนตัวชี้วัดให้มีความชัดเจน รัดกุมและวัดระดับได้ โดยมีการ
แบ่งตัวชี้วัดออกเป็น 4 ด้าน คือ การไม่มีความรุนแรงทางกายภาพ ความปลอดภัยและความมั่นคงใน
สังคม การยอมรับความหลากหลาย/การไม่เลือกปฏิบัติ/การเคารพสิทธิมนุษยชน และมีความเหลื่อม
ล้ำในสังคมน้อยและมีการกระจายทรัพยากรที่เป็นธรรม โดยมีตัวชี้วัดย่อยทั้งสิ้นที่ได้ปรับปรุงและ
พัฒนารวมทั้งสิ้น 34 ตัวชี้วัด โดยข้อมูลที่นำมาใช้ มีทั้งข้อมูลทุติยภูมิจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ
ข้อมูลจากการสำรวจทั่วประเทศ รวมทั้งการวิเคราะห์ผลกระทบของโควิด 19 ต่อครัวเรือนที่รายได้
แตกต่างกัน และผลกระทบต่อตัวชี้วัดความเหลื่อมล้ำในสังคมในบางตัวชี้วัด
รายงานวิจัยนี้มีการจัดทำตัวชี้วัดทั้งในระดับประเทศและระดับจังหวัด การนำเสนอข้อมูล
ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่มีที่ได้จัดเก็บอยู่แล้วว่ามีข้อมูลถึงระดับจังหวัดหรือไม่ ถ้าหากข้อมูลไม่สามารถระบุ
ลงระดับจังหวัดจะนำเสนอข้อมูลในระดับประเทศ การจัดทำดัชนีในระดับประเทศกับระดับจังหวัดจะ
มีความแตกต่างกัน แนวทางในการจัดทำดัชนีระดับประเทศ ได้ยึดแนวทางของ OECD (2008) และ
Ebert and Welsh (2004) ที่เสนอว่า การสร้างดัชนีนั้น จะต้องให้ความสำคัญกับคุณสมบัติของดัชนี
แต่ละว่ามีความหมายอย่างไร ทั้งนี้การนำข้อมูลทั้งหมดมารวมกันแล้วคำนวณค่าดัชนีในภาพรวมไม่ใช่
แนวทางที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ (Adding up apples and oranges) โดยเฉพาะกรณีที่ดัชนีรวม
เกิดการผลรวมของดัชนีย่อยซึ่งมีที่มาต่างกัน ในการศึกษาครั้งนี้ จะใช้แนวทางตามที่ OECD (2008)