Page 113 - kpi19910
P. 113
103
ประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 138,140,142,143 และ144 เป็นไปโดยถูกต้องตามค าพิพากษาศาลฎีกาที่
3280/2556 ระหว่างบริษัท กุ้ยหลินพังงา จ ากัด โจทก์ นายสุจิต ชนะกิจ ที่ 1 นางเยาวภา ชนะกิจ
ที่ 2 จ าเลยก็ตาม แต่จ าเลยทั งสี่ ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว ทั งคดีดังกล่าวพิพาทกันในที่ดินแปลง
อื่นไม่ใช่ที่ดินพิพาท ทั งไม่ปรากฏว่าข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นป่าชายเลนหรือไม่ ค าพิพากษาศาล
ฎีกาดังกล่าวย่อมไม่ผูกพันจ าเลยทั งสี่ในคดีนี ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง นอกจากนี การที่โจทก์ร่วมเคยตกลงที่จะแบ่งที่ดินพิพาทแก่จ าเลยที่
1 และที่ 2 นั นก็แสดงว่าโจทก์ร่วมยอมรับว่าจ าเลยที่ 1 และที่ 2 ครอบครองท าประโยชน์ในที่ดิน
พิพาทเช่นกัน ดังนี จึงยังไม่ได้ความชัดว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ร่วมหรือไม่ กรณีเป็นเรื่องทาง
แพ่ง ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจ าเลยทั งสี่กระท าโดยมีเจตนาบุกรุกและท าให้เสียทรัพย์ จ าเลยทั งสี่จึงไม่มี
ความผิดฐานบุกรุกและท าให้เสียทรัพย์ ทั งเมื่อข้อเท็จจริงยังไม่ชัดเจนว่าโจทย์ร่วมขอออกหนังสือ
รับรองการท าประโยชน์ (น.ส.3 ) ที่ดินพิพาทมาชอบหรือไม่ โจทก์ร่วมย่อมขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ยกค าร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของโจทก์ร่วมจึงไม่ชอบ ฎีกาของโจทก์และโจทก์
ร่วมข้อนี ฟังขึ น ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกา
ของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ น พิพากษายืน แต่ไม่ยกค าร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของโจทก์ร่วม
ส านักข่าวอิศรารายงานว่า คดีนี พนักงานอัยการจังหวัดพังงา โจทก์ บริษัท กุ้ยหลินพังงา
จ ากัด โจทก์ร่วมฟ้องชาวบ้าน 4 คน ได้แก่ นายกุศล ค้าไกล นายพีระวัฒน์ พงศ์สิริเดช หรือนายวิฑูรย์
หมายดี นายบัญชา ถิ่นลิพอน และ นายแสงอรุณ ทองมี ร่วมกันเป็นจ าเลยที่ 1-4 ในข้อหาบุกรุกท าให้
เสียทรัพย์ ที่ดินพิพาท 60 ไร่ ในพื นที่หมู่ที่ 3 ต.ถ าน าผุด อ.เมืองพังงา จ.พังงาที่มีชื่อบริษัท กุ้ยหลิน
พังงา จ ากัด เป็นผู้ถือครอง ศาลชั นต้นพิพากษาจ าเลยมีความผิดหลายกรรมต่างกัน ฐานบุกรุกและท า
ให้เสียทรัพย์ ลงโทษจ าคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน โจทก์ร่วมและจ าเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีค า
พิพากษากลับว่า หนังสือรับรองการท าประโยชน์ (น.ส.3) เนื อที่ประมาณ 45 ไร่มีชื่อบริษัท กุ้ยหลิน
พังงา จ ากัด ออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลมีอ านาจเพิกถอนเสียได้ “เชื่อว่าที่ดินพิพาทรายนี ยังเป็น
ที่ดินของรัฐหรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304
(1) ประกอบประมวลหมายที่ดิน มาตรา 2 ที่บัญญัติว่าที่ดินซึ่งไม่ได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลหนึ่ง
บุคคลใดให้ถือว่าเป็นของรัฐ ซึ่งที่ดินพิพาทนี ยังไม่มีบุคคลใดรวมทั งโจทก์ร่วมได้สิทธิในที่ดินมาตาม
กฎหมายที่ดิน จึงไม่อาจมีการกระท าความผิดฐานบุกรุกและฐานท าให้เสียทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องได้
โจทก์ร่วมไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาททั งสิ น จึงไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย” และมีค าพิพากษาของศาลฎีกา
ข้างต้น
ส านักข่าวอิศรารายงานว่า ในห้วงคดีอยู่ระหว่างพิพาท เอกชนได้น า น.ส.3 จ านวน 3 แปลง
ไปยื่นรังวัดออกเป็นโฉนด และได้รับแจกเป็นโฉนดจ านวน 6 แปลง (ฉบับ) เมื่อวันที่ 24 ก.ย.2557
ต่อมา เอกชน น าโฉนด 1 แปลง ได้แก่โฉนดเลขที่ 18630 และโฉนดแปลงอื่น เลขที่ 18633 ไปขายต่อ
ให้กระทรวงการคลัง ก่อสร้างสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดพังงา เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2558 ในราคา
29.6 ล้านบาท ซึ่ง โฉนดเลขที่ 18630 ดังกล่าวออกมาจาก น.ส.3 เลขที่ 21 ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษา
ว่า เป็น น.ส.3 ฉบับที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ส่วนโฉนดเลขที่ 18633 ที่ขายให้กระทรวงการคลัง
อีกหนึ่งแปลงนั น กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตรวจสอบพบว่าออกโดยมิชอบ เป็นการออก
โฉนด โดยไม่มีหลักฐานเดิม และไม่ได้แจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นพื นที่