Page 64 - kpiebook63028
P. 64

63








                  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเนติบัณฑิต เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีฝีปากกล้า ใช้เวทีการหาเสียงโจมตีการบริหารงาน

                  ของรัฐบาลเผด็จการ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งบริหารประเทศได้ประมาณสองปี ในปี พ.ศ. 2514
                  จอมพลถนอมฯ ได้ทำาการรัฐประหารยึดอำานาจ และได้ทำาการปกครองประเทศ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์

                  “วันมหาวิปโยค” เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ส่งผลให้ จอมพลถนอมฯ และพวก ต้องหลบหนีออก
                  นอกประเทศ


                          การเลือกตั้งครั้งที่ 10 มีขึ้นเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 การเลือกตั้งเป็นแบบแบ่งเขตเรียงเบอร์

                  จังหวัดชลบุรีมีจำานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้น 1 คน จากเดิมจากเดิมที่มี 3 คน รวมมีสมาชิก
                  สภาผู้แทนราษฎร 4 คน เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลัง 16 ตุลาคม

                  พ.ศ. 2516 บรรยากาศการเลือกตั้งเป็นไปอย่างคึกคัก มีพรรคการเมืองจำานวนมากส่งผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทน
                  ราษฎร โดยจังหวัดชลบุรีแบ่งออกเป็น 2 เขต ผลการเลือกตั้งผู้ชนะการเลือกตั้งได้แก่ เขต 1 นายอุทัย พิมพ์ใจชน

                  สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ นายบุญชู โรจนเสถียร สังกัดพรรคกิจสังคม นายอุทัย พิมพ์ใจชน ได้รับความนิยมชมชอบ
                  จากชาวชลบุรีอย่างมากจากการที่กล้าหาญฟ้องจอมพลถนอม กิตติขจร ในช่วงที่ประเทศปกครองโดยเผด็จการ

                                                                                   2
                  ทหาร และถูกจำาคุกจากการการะทำาดังกล่าว จึงชนะเลือกตั้งไปอย่างง่ายดาย  ส่วนนายบุญชู โรจนเสถียร
                  นั้นได้รับเลือกเนื่องจากเป็นชาวชลบุรีโดยกำาเนิด เขาเป็นผู้บริหารระดับสูงของธนาคารกรุงเทพ จำากัด และ

                  ด้วยการชักนำาสู่วงการเมืองโดย หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช พาเข้าพบและรับการสนับสนุนจาก
                  นายจุมพล สุขภารังษี หรือ เสี่ยจิว ผู้กว้างขวางในจังหวัดชลบุรีในขณะนั้น ส่วนเขต 2 นั้น ผู้ที่ได้รับเลือก คือ

                  นายดรงค์ สิงห์โตทอง สังกัดพรรคสันติชน และนายประจวบ ศิริวรวาท นายดรงค์ สิงโตห์ทอง หรือ เฮียซุ้ย นั้น
                  เป็นผู้กว้างขวางในวงการพืชผลการเกษตรโดยเฉพาะบรรดาชาวไร่อ้อยในแถบอำาเภอรอบนอกของจังหวัดชลบุรี

                  ภายหลังการเลือกตั้ง หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดำารงตำาแหน่งนายกรัฐมนตรี

                          การเลือกตั้งครั้งที่ 11 มีขึ้นเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ผู้ได้รับการเลือกตั้ง

                  มาจากพรรคการเมืองที่หลากหลายทั้ง พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคกิจสังคม ดังนี้

                  เขต 1 นายบุญชู โรจนเสถียร สังกัดพรรคกิจสังคม และนายอุทัย พิมพ์ใจชน สังกัดพรรคประชาธิปัตย์
                  เขต 2 พลตรีศิริ สิริโยธิน สังกัดพรรคชาติไทย และนายประสิทธิ์ จิตต์อารีย์ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ภายหลัง
                  การเลือกตั้ง หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ดำารงตำาแหน่งนายกรัฐมนตรี และสภาได้สิ้นสุดลงเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง

                  ทางการเมือง โดย พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ทำาการยึดอำานาจเมื่อ

                  วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 นายอุทัย พิมพ์ใจชน ได้รับเลือกเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร




                  2   นายอุทัย พิมพ์ใจชน เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรกเมื่อ พ.ศ. 2512 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ จนกระทั่ง
                  เกิดรัฐประหาร 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 จอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร ยึดอำานาจตัวเอง
                  นายอุทัย พิมพ์ใจชน พร้อมด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อีก 2 คน คือ นายอนันต์ ภักดิ์ประไพ และนายบุญเกิด หิรัญคำา
                  ได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาให้ดำาเนินคดีต่อคณะปฏิวัติในข้อหากบฏ ถือเป็นการท้าทายอำานาจของผู้มีอำานาจอย่างตรงไป
                  ตรงมา แต่แล้วศาลได้ตีความว่าที่จอมพล ถนอม ทำาถูกต้องหมดแล้วเพราะอยู่ในฐานะรัฐถาธิปัตย์ และทำาให้ทั้งสามคน

                  ตกเป็นจำาเลย และถูกจำาคุก ทั้งสามถูกปล่อยตัวในเวลาหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516
   59   60   61   62   63   64   65   66   67   68   69