Page 60 - kpi17724
P. 60
บทที่ 3
เขาเปรียบข้อดีและข้อเสียของแม่เหล็กสองชิ้นหลัก นั่นคือแม่เหล็ก หลากหลายแนวคิดพัฒนาเมือง
เมือง (Town) และแม่เหล็กชนบท (Country) เพื่อที่จะดูว่าคนจะวิ่งเข้าไป
อยู่ในเมืองแบบไหนมากกว่ากัน ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีและข้อเสียงแตกต่าง
กันไป แบบเมืองมีข้อดีคือ มีโอกาสทางสังคมสูง สามารถหลบหนีจาก
ผู้คนได้ มีสถานที่น่าตื่นเต้นมากมาย มีโอกาสที่จะถูกจ้างงาน ค่าแรงสูง
ถนนหนทางมีไฟส่องสว่าง มีอาคารบ้านเรือนที่ใหญ่โตโอ่อ่ามากมาย แต่ก็
ยังมีข้อเสียคือ คนอาศัยอยู่เยอะจนเกิดเป็นชุมชนแออัดหลายแห่ง ห้องเช่า
ราคาแพง ระบบระบายน้ำที่ไม่ดี อากาศเป็นพิษและขมุกขมัวอยู่ตลอดเวลา
และสุดท้ายคือไม่สามารถใกล้ชิดกับธรรมชาติได้ ส่วนชนบทนั้นเขาพบว่า
มีข้อดีคือ มีที่ดินให้ใช้ประโยชน์มากมายด้วยค่าเช่าที่ราคาถูก อากาศ
บริสุทธิ์ มีป่าไม้และทุ่งหญ้าเหมาะสมกับการทำเกษตรกรรมด้วยทรัพยากร
น้ำที่เพียงพอต่อความต้องการ อีกทั้งยังมีแสงแดดอบอุ่นไม่เหมือนในเมือง
อย่างไรก็ตามเขายังพบว่าชนบทนั้นก็มีข้อเสียเช่นกันคือ บ้านแต่ละแห่ง
อยู่ห่างกันจนขาดการติดต่อกันเป็นสังคมใหญ่ บางหมู่บ้านรกร้าง ค่าจ้างต่ำ
มีงานให้ทำน้อย ไม่มีจิตสำนึกสาธารณะ ระบบชลประทานและการระบาย
น้ำไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องการการปฏิรูปให้ดีขึ้น แม้ว่าจะมีข้อดี
ข้อเสียในแบบที่แตกต่างกันแต่สุดท้ายเขาพบว่าเมืองทั้งสองแบบไม่สามารถ
นำไปสู่สังคมในอุดมคติตามแบบที่เขาคิดได้ ที่เขาต้องการคือ เมือง
ที่ปลอดจากสลัม และผู้คนต่างมีความสุขไปกับข้อดีของเมืองและชนบท
ไปพร้อมๆ กัน เขาจึงเสนอเมืองแบบที่สามหรือแม่เหล็กตัวที่สามนั่นคือ
เมืองผสมชนบท (Town-country) หรือเมืองในสวน (Garden city)
ขึ้นมา
คุณลักษณะของเมืองในสวนแบบดั้งเดิม
เขาออกแบบให้เมืองในสวนมีขนาดที่จำกัด มีการวางแผนเมือง
ล่วงหน้าก่อนที่ผู้คนจะเข้าอาศัย ส่วนตัวเมืองนั้นถูกล้อมรอบด้วยเขต
47